วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านบือแนกูเจ




ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านบือแนกูเจ
เสนอ
อาจารย์อาหวัง          ล้านุ้ย
จัดทำโดย
     นางสาวกัสมีนี           เจะมามะ    รหัส  5520210348
                                          นางสาวฟาดีละห์       กะสามาสุ   รหัส 5520210532
                                          นางสาวสีตีคอลีเยาะ  แวโดยี        รหัส 5520210667
                                          นางสาวอาดีนา          ปูซู              รหัส 5520210712
                                          นางสาวฟาอีซะห์      เจะสะแม     รหัส 5520210963
สาขาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

รายงานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา (434-316) เศรษฐกิจไทย
    ภาคเรียนที่2        ปีการศึกษา 2557
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี



คำนำ
                รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา (434-316) เศรษฐกิจไทยโดยกลุ่มของดิฉันได้ทำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านบือแนกูเจ ซึงได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชุมชนดังกล่าว เพื่อให้เรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของเศรษฐกิจในชุมชนให้ได้มากที่สุด และรายงานเล่มนี้ สามารถเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจจะศึกษาต่อไป   หากรายงานเล่มนี้ผิดพลาดประการใดขออภัย ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
                                                                                                                                                จัดทำโดย
                                                                                                นางสาวกัสมีนี           เจะมามะ    และคณะ





บ้านบือแนกูเจ
หมู่ที่ 7 บ้านกะมิยอ อ.เมือง จ. ปัตตานี

บริบทชุมชน
สภาพพื้นที่

ประวัติศาสตร์ชุมชน
          กะมิยอ เป็นภาษามลายูท้องถิ่น แปลว่า ต้นสาคูเหตุที่ใช้ชื่อนี้ เนื่องจากชุมชนดั้งเดิมที่ตั้งอยู่รายล้อม
กับริมคลองนั้น เต็มไปได้ต้นสาคู ใช้ประโยชน์สารพัดอย่างจากต้นสาคู แม้ปัจจุบันต้นสาคูแทบจะไม่เหลือให้เห็นแล้ว แต่ยังพอปรากฏเป็นดงสาคูเดิมข้างริมคลองที่ไหลผ่านบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลกะมิยอ

ภาพ ดงต้นสาคู ปัจจุบันอยู่ริมคลองที่ไหลผ่านบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลกะมิยอ

          เกี่ยวกับเรื่องของชื่อที่เป็นภาษามลายูท้องถิ่นนั้น ครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2530 รัฐบาลให้แปลชื่อที่เป็นภาษามลายูเป็นไทยทั้งหมด ป้ายชื่อบอกทางจึงต้องเปลี่ยนจากกะมิยอเป็นต้นสาคูไม่เว้นแม้แต่ป้ายชื่อโรงเรียนชุมชนบ้านกะมิยอยังต้องมีวงเล็บต่อท้ายว่าต้นสาคู ต่อมาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าภาษาเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ควรรักษาไว้ มาตรการในการแปลภาษามลายูเป็นภาษาไทยจึงยกเลิกไป

ประวัติศาสตร์บ้านบือแนกูเจ
เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของตำบลกะมิยอ แห่งหนึ่งคือบ้านบือแนกูเจคำว่า บือแนแปลว่า นา ส่วน กูแจคือ ต้นไม้ชนิดหนึ่ง คาดว่าจะเป็นลูกเม่า เคยมีประวัติว่าแม่ทัพมะละกาเคยมาเรียนวิชาการต่อสู้ด้วยกริชที่หมู่บ้านบือแนกูเจแห่งนี้ หากย้อนประวัติศาสตร์ในช่วงที่มะละกาแผ่อำนาจมาปกครองดินแดนแห่งนี้ ตรงกับรัชสมัยสุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ กษัตริย์มะลากาที่ส่งกองทัพมาตีหัวเมืองปาหัง ตรังกานู และปัตตานีไว้ได้ระยะหนึ่ง อยู่ระหว่างปี พ.ศ.19882002 ระหว่างที่ยึดครองนั้น คงจะมาเรียนรู้วิชาการต่อสู้ด้วยกริชติดตัวไปด้วย
          หลักฐานที่จะหาอายุของหมู่บ้านบือแนกูเจ อีกประการหนึ่งคือการขุดคลองในอดีต กล่าวคือ ในสมัยรายาฮียา ปกครองราชอาณาจักรมลายูปัตตานี ทรงครองราชย์ในช่วงปี พ.ศ.2135 2159 ในครั้งนั้น ลำน้ำซึ่งอยู่ใกล้
พระราชฐานเกิดน้ำทะเลไหลบ่าเข้าสู่ลำคลองซึ่งตื้นเขินขึ้น ทำให้ราษฎรไม่สามารถใช้น้ำดื่มและอาบได้ดั่งเช่นเคย พระนางจึงเสด็จออกไปเกณฑ์ผู้คนและควบคุมการขุดคลองที่บ้านตามะงัน (ปัจจุบันอยู่ระหว่างเขตตำบลเมาะมาวี กับตำบล ปรีกี) อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อระบายน้ำในแม่น้ำตานีให้ไหลลงสู่คลองที่ขุดขึ้นใหม่จาก
บ้านตะมางันถึงบ้านกรือเซะ ออกสู่อ่าวกัวลารา (Kualara) ที่ตำบลบาราโหม อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งผ่านชุมชนแห่งนี้ด้วย ยังผลให้ราษฎรมีน้ำดื่มน้ำใช้ และประกอบการเกษตรกรรมได้ผลดีอีกด้วย เมื่อรายาฮียาสิ้นพระชนม์ลง ในปี 2159 ประชาชนได้พากันขนานพระนามของพระองค์ว่า "มารโฮมตามางัน" ทั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดทูนพระเกียรติแด่พระนางที่ได้ทำการขุดคลองตะมางันสำเร็จ
        รายาบีรู พระขนิษฐาองค์รอง ได้รับการสถาปณาขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีแห่งเมืองปัตตานี ด้วยความเห็นชอบของบรรดามุขมนตรีและเสนาบดี จากนั้น 3 ปีต่อมา คลองตะมางันที่รายาฮียาขุดขึ้นใหม่ ถูกกระแสน้ำในแม่น้ำตานีไหลบ่าท่วมท้น เซาะตลิ่งพัง ขยายลำน้ำกว้างยิ่งขึ้น สายน้ำได้ไหลเซาะตีนสะพาน บริเวณตลาดปินตูฆาเยาะ (ประตูช้าง) ใกล้กำแพงเมืองเข้ามาทุกปี รายาบีรูเกรงว่ากำแพงเมืองจะพังทะลาย จึงสั่งให้ขุนนางออกไปเร่งรัดราษฎร จัดทำทำนบกั้นน้ำในลำคลองไว้ เรียกหมู่บ้านที่สร้างทำนบกั้นน้ำนี้ว่า "กำปงตาเนาะบาตู" ปัจจุบันคือหมู่ 4 บ้านตาเนาะบาตู ตำบลคลองมานิง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี คำว่า ตาเนาะแปลว่าทำนบหรือฝาย   สาเหตุอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้ต้องสร้างทำนบกั้นน้ำ เนื่องจากกระแสน้ำได้ไหลบ่าเข้าสู่ คลองแปแปรี ในบริเวณที่ใช้ทำนาเกลือ ทำให้น้ำลดความเค็มลง ไม่สามารถผลิตเกลือ ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของเมืองปัตตานีออกสู่ตลาดได้เช่นเคย ทำให้รายได้จากภาษีเกลือลดน้อยลง

ภาพ ทำนบกั้นน้ำสมัยโบราณ

  หลังจากสร้างทำนบกั้นลำน้ำไว้ คลองตะมางันก็ค่อยๆ ตื้นเขิน ทิ้งร่องรอยให้เห็นเพียง "กอจาก" ที่ขึ้นอยู่ตามลำน้ำเก่า จากสะพานบ้านปรีกี อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ตลอดริมถนนสิโรรสด้านขวามือ จนถึงบ้านปุยุด เขตท้องที่อำเภอเมืองปัตตานี  นอกจากกะมิยอจะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแล้ว ยังเป็นเมืองท่าที่มีเรือผ่านเข้าออก โดยมีผู้เคยพบเสากระโดง
เรือโบราณที่โผล่พ้นดิน แต่ปัจจุบันเจ้าของที่ได้ทำการถมดินและปล่อยให้เป็นที่รกร้าง จนไม่เห็นเสากระโดงเรือนั้นแล้ว
เจ้าของเรือที่จมอยู่ใต้ดินนี้ เป็นพ่อค้าที่ค้าขายระหว่างปัตตานีกับอินโดนีเซีย สมัยเกิดสงคราม สินค้าต้องห้ามคือทองเหลือง ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญสำหรับการหล่อปืนใหญ่ แต่ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเหตุใด ก็ไม่อาจทราบได้ พ่อค้ารายนี้ก็ทำการค้าทองเหลืองตามปกติกับชาวต่างชาติ จนทางการทราบเรื่องจึงลงโทษประหารชีวิต ศพฝังอยู่ห่างจากจุดที่เรือจมดินอยู่ประมาณ 50 เมตร และยังคงปรากฏ แนแซ หินที่บ่งชี้จุดที่ฝังศพของชาวมุสลิม โดยสมัยก่อนนิยมใช้หินที่สวยงามแปลกตากว่าหินในบริเวณรอบๆ มาตั้งหัว ท้าย บอกทิศทางของศพที่ฝัง


ภาพ  หินฝังศพในสมัยก่อน เพื่อบอกให้รู้ว่ามีศพอยู่บริเวณนี้

          นอกจากจะเป็นเมืองท่าค้าขายในแถบเอเชียอาคเนย์แล้ว บ้านบือแนกูเจ ตำบลกะมิยอ จังหวัดปัตตานี ยังมีหลักฐานการค้าขายกับอาณาจักรที่อยู่ในตะวันออกกลางอีกด้วย เมื่อคราวที่ขุดคลองในระยะหลัง ได้มีคนค้นพบเหรียญสกุลดีนาร์ ที่ใช้แพร่หลายในตะวันออกกลางหลายประเทศ เป็นเหรียญที่ทำจากทองคำแท้และเงินแท้ มีขนาดเล็กเท่ากับเหรียญ 25 สตางค์ของไทย แต่สามารถขายได้ราคา อย่างเหรียญทองคำดีนาร์เคยนำไปขายได้ถึง 1,000 กว่าบาท


ภาพ เหรียญดีนาร์ทองคำแท้ ที่ใช้แพร่หลายในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

      บ้านบือแนกูเจ   ตำบลกะมิยอและตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อกันในเชิงแลกเปลี่ยนทรัพยากร ตำบลบานามีชื่อเสียงเรื่องนาเกลือมาตั้งแต่สมัยโบราณ ขณะที่ตำบลกะมิยอมีนาข้าวและมีการจับปลาในนา เช่น ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาดุก ฯลฯ จึงมีการแลกข้าวกับเกลือ ปลาที่เหลือกินก็ทำเค็มโดยหมักในไหเก็บไว้บริโภค
การทำนาเกลือเพื่อใช้บริโภคและจำหน่ายในจังหวัดภาคใต้ของเมืองปัตตานี เป็นสินค้าที่จำหน่ายมาแต่ต้นสมัยอยุธยาแล้ว ประวัติเมืองปัตตานีได้กล่าวถึงการทำนาเกลือไว้ชัดเจนในสมัยรายาฮียาและรายาบีรูปกครองเมืองปัตตานี แต่ไม่ปรากฏว่าเมืองใกล้เคียงทำนาเกลือเป็น ทั้งที่บ้านเมืองเหล่านั้น ก็อยู่ใกล้ทะเล มีสภาพที่ดินคล้ายคลึงกัน พอที่จะใช้ในการทำนาเกลือได้ ดังปรากฏหลักฐาน ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ความตอนหนึ่ง เมื่อพระเจ้าอู่ทองตรัสถามพญาศรีธรรมโศกราชว่า"เมืองของท่านขัดสิ่งใดเล่า และพญาศรีธรรมโศกราชว่า ขัดแต่เกลือ อาณาประชาราษฎร์ไม่รู้จักทำกินและพระเจ้าอู่ทองว่า จงให้สำเภาเข้ามาจะจัดให้ออกไป" ปัจจุบัน การทำนาเกลือ ของชาวเมืองปัตตานีก็ยังคงได้รับการสืบทอดเป็นอาชีพของชาวบ้านตำบลบานา ตำบลตันหยงลุโละ ท้องที่อำเภอเมืองปัตตานี
          โดยสรุปแล้ว บ้านบือแนกูเจ ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีมีประวัติความเป็นมาและการตั้งชุมชนมายืนยาวกว่า 400 ปีมาแล้ว

ที่ตั้ง อาณาเขต
         ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีที่ตั้งห่างจากตัวเมืองปัตตานีประมาณ 11 กิโลเมตร
ทิศเหนือ               จดตำบลบาราโหม อำเภอเมืองปัตตานี
ทิศใต้                    จดตำบลตาแกะ อำเภอยะหริ่ง
ทิศตะวันออก       จดตำบลคลองมานิง อำเภอเมืองปัตตานี
ทิศตะวันตก          จดตำบลสะดาวา อำเภอยะรัง



ภาพ  แผนที่ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

ตำบลกะมิยอ เนื้อที่ 6,252 ไร่ หรือประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านท่าราบ             หมู่ที่ 5 บ้านท่าราบ(ใน)
หมู่ที่ 2 บ้านกะมิยอ            หมู่ที่ 6 บ้านสะบาโระ
หมู่ที่ 3 บ้านตาเนาะ           หมู่ที่ 7 บ้านบือแนกูเจ
หมู่ที่ 4 บ้านกาแลบือซา    



ลักษณะทางภูมิศาสตร์ชุมชน
ตำบลกะมิยอมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ เหมาะแก่การทำการเกษตร มีคลองไหลผ่านหมู่บ้าน
ซึ่งเหมาะแก่การทำนาทำไร่ ทำสวนผลไม้ และเพาะปลูกพืชสวน

สภาพทางสังคมและวัฒนธรรม
ประชากร
ปี 2557 ตำบลกะมิยอมีประชากรทั้งสิ้น 4,205 คน เป็นชาย 2,096 คน คิดเป็นร้อยละ 50.11 เป็นหญิง 2,109 คน คิดเป็นร้อยละ 49.89 มีความหนาแน่นเฉลี่ยต่อพื้นที่ประมาณ 413 คน/ตารางกิโลเมตร
สามารถแยกตามหมู่บ้านได้ดังนี้
หมู่ที่       บ้าน               ชาย (คน)        หญิง (คน)          รวม (คน)           จำนวนครัวเรือน
1              ท่าราบ           389                  427                        816                                 112
2              กะมิยอ         382                 321                         703                                  97
3              ตาเนาะ          96                  106                         202                                 30
4              กาแลบือซา     397                 383                       780                                 108
5              ท่าราบ(ใน)      314                328                       642                                 72
6              สะบาโระ          42                 52                         94                    15
7              บือแนกูเจ         476               492                        968                                 123
               รวม              2,096           2,109                   4,205                                 557
ที่มา ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2554

รูปแบบใหม่
 ปัจจุบัน เมื่อมีเส้นทางการคมนาคมที่สะดวกสบาย ถนนคอนกรีตและถนนลาดยางเข้าหมู่บ้าน การตั้งบ้านเรือนจึงตั้งรายเรียงตามเส้นทางถนนเป็นหลัก

เส้นทางคมนาคม และการติดต่อกับภายนอก
          ตำบลกะมิยอมีถนนสายหลักตัดผ่านหมู่บ้าน จากหมู่ที่ 4 หมู่ 1 หมู่ 2 การคมนาคมจากหมู่บ้านไปตัวอำเภอ ระยะทาง 12 กิโลเมตร มีรถจักรยานยนต์รับจ้างไว้บริการ การโทรคมนาคมติดต่อสื่อสาร มีการใช้ โทรศัพท์ตามบ้านและโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล(โทรศัพท์มือถือ) ด้วยความที่ตำบลกะมิยอไม่ห่างจากตัวจังหวัดปัตตานีมากนัก การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการต่างๆ จึงเป็นไปได้โดยง่าย

การศึกษา
การศึกษาในระบบ
 ตำบลกะมิยอมีโรงเรียนในสายสามัญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่เขตการศึกษา 1 อยู่ 2 แห่ง คือโรงเรียนชุมชนบ้านกะมิยอ และโรงเรียนบ้านกาแลบือซา มีโรงเรียนปอเนาะ (โรงเรียนประจำสอนศาสนาอิสลาม) จำนวน 4 แห่ง โรงเรียนตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามสำหรับปฐมวัย) 8 แห่ง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 แห่ง


ภาพ ปอเนาะอิสลามปราโมทย์วิทยา หมู่ 7 ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีซึ่งสืบทอดการสอนมาถึง 5 ชั่วอายุคนแล้ว


ภาพ โรงเรียนชุมชนบ้านกะมิยอ

สาธารณสุข
ตำบลกะมิยอมีสถานบริการด้านสาธารณสุข 1 แห่งคือ สถานีอนามัยตำบลกะมิยอ มีแพทย์ 1 คน พยาบาล 1 คน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 3 คน และอาสาสมัครสาธารณสุข 35 คน ในระดับท้องถิ่นมีบุคลากรทางการป้องกันและรักษาโรค คือ หมอตำแยจำนวน 2 คน และหมอแผนโบราณ
 นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกในการใช้บริการจากโรงพยาบาลอำเภอยะหริ่ง โรงพยาบาลปัตตานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดได้อย่างสะดวก ด้วยระยะทางที่ใกล้ต่อการเข้าถึง และคนในตำบลกะมิยอต่างอยู่ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคทุกคนแต่ในปัจจุบันจะใช้บัตรประชนแทน

วัฒนธรรมและประเพณี
วัฒนธรรมและประเพณีที่ดำรงรักษาไว้หรืออนุรักษ์ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ กะปิเยาะ หรือหมวกที่ชายมุสลิมใช้ในการประกอบศาสนกิจและเป็นสัญลักษณ์ ในการบ่งบอกถึงความเป็นมุสลิม เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อๆ กันมา ตามการเผยแผ่ของศาสนาอิสลาม ที่เข้ามาถึงยังดินแดนราชอาณาจักรมลายูปัตตานี ด้วยหน้าที่ของมุสลิมคนใดก็ตามที่มีโอกาส ควรจะไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต และการที่มุสลิมแห่งตำบลกะมิยอที่ได้ไปนครมักกะนี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นในการรับเอาวัฒนธรรมการใช้ การผลิตติดตัวกลับมายังชุมชน จนตำบลกะมิยอสามารถขยายเป็นแหล่งผลิตกะปิเยาะแห่งใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่งในเวลานี้ ภาพลักษณ์ของกะปิเยาะ จึงไม่ใช่เป็นเพียงสินค้าที่ซื้อขายกันโดยทั่วไปเท่านั้น แต่เป็น สินค้าวัฒนธรรมอันสำคัญยิ่งของชาวมุสลิมทั่วโลก งานเมาลิดหรือเมาลิด โดยภาษาแล้ว แปลว่า การเกิดแต่ได้นำมาใช้เพื่อหมายถึงวันคล้ายวันเกิด ของท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งตรงกับวันที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล ตามปฏิทินจันทรคติของอิสลาม เป็นวัฒนธรรมที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

หมากขุมหรือหมากหลุม ตำบลกะมิยอ เป็นชุมชนที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พึ่งพิงธรรมชาติ มีการละเล่นที่หยิบฉวยสิ่งใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้ เช่น หมากขุม เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่จะขุดหลุมบนดินแล้วใช้ลูกยางพารามาเล่น แสดงให้เห็นถึงสภาพการใช้ชีวิตในสมัยก่อนที่มีสวนยางพาราอยู่มากแต่ตอนนี้ลดน้อยลง เหลืออยู่เพียง 2 3 ไร่เท่านั้น

 ลูกข่าง เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งที่ยังคงมีอยู่ ลูกข่าง หรือภาษามลายูเรียกว่า ฆาซิงเป็นลูกข่างที่ทำด้วยไม้มาเหลาเป็นรูปทรง ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าลูกข่างไทย และต่างตรงที่ลูกข่างไทยจะใช้ตะปูเป็นส่วนประกอบในการช่วยเวลาลูกข่างหมุนอยู่บนพื้นดิน แต่ลูกข่างมลายูจะไม่ใช้ตะปู อาศัยฝีมือของช่างในการเหลาลูกข่างให้มีจุดแหลมเพื่อช่วยในการหมุน

ศาสนา ความเชื่อ และการเคารพนับถือ
         กะมิยอเป็นชุมชนมุสลิมที่เก่าแก่ชุมชนหนึ่ง มีมัสยิดที่ใช้ประกอบศาสนกิจถึง 6 แห่ง มีโรงเรียนปอเนาะ
ดั้งเดิมที่สอนศาสนาอิสลาม 4 แห่ง ดังนั้น  ศาสนาอิสลามจึงเป็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ตั้งแต่เกิดจนตาย
ศาสนาอิสลามมีลักษณะเป็นเอกเทวนิยม คือ นับถือองค์อัลเลาะพียงองค์เดียว และมีความเชื่อว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ อัลเลาะเป็นผู้สร้างและทรงประทานโองการ คือ บทบัญญัติการถือปฏิบัติ และการละเว้นปฏิบัติต่างๆ แก่ชาวโลกผ่านทางรอซูลของพระองค์มีพระนามนบีอาดัม เป็นองค์แรก และองค์สุดท้ายคือท่านนบีมุฮัมมัด รวม 25 พระองค์ จึงครบบริบูรณ์
 นบีมุฮัมมัด ได้รวบรวมบทบัญญัติหรือโองการ ที่องค์อัลเลาะประทานให้แก่รอซูลในที่ต่างๆ มารวบรวม
เป็นคัมภีร์อัล - กุรอาน ซึ่งเปรียบเทียบประหนึ่งธรรมนูญการปกครองการดำเนินวิถีชีวิตของมุสลิมควบคู่ไปกับ พระโอวาทและจริยวัตรของท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งได้มีผู้บันทึกไว้ เรียกว่า "หะดิษ"(วจนะหรือโอวาทของศาสดานบีมุฮัมมัด) และ "ซุนนะ" (จริยวัตรปฏิบัติของศาสดานบีมุฮัมมัด) เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของศาสนิกชน
      ในกาลต่อมา "อีหม่าม" (ผู้นำในการประกอบพิธีกรรมศาสนา) ได้มีการวินิจฉัยตีความ เกี่ยวกับ วัตรปฏิบัติใน
ส่วนย่อยแตกต่างกันตามความคิดเห็นของตน จึงเกิดการปฏิบัติตามอย่างอีหม่ามผู้เป็นต้นคิดนั้นๆ เช่น ของอีหม่าม ต่อไปนี้
อีหม่ามซะฟีอีย์    (เรียกว่า สำนักคิดซะฟีอีย์)
อีหม่ามมาลีกี        (เรียกว่า สำนักคิดมาลิกี)
อีหม่ามหะนาฟีย์ (เรียกว่า สำนักคิดหะนาฟีย์)
อีหม่ามฮัมบาลี     (เรียกว่า สำนักคิดฮัมบาลี)
          มุสลิมในภาคใต้ส่วนใหญ่ นิยมนับถือตามแนวความคิด ของอีหม่ามซะฟีอีย์ (หรือสะเปอิง)
          อุดมการณ์ของศาสนาอิสลามมีความหมายให้มุสลิมบรรลุถึงการมีชีวิตนิรันดร์ในปรโลก (อาคีเราะฮ์) แนวทางที่จะนำไปสู่จุดหมายศาสนาอิสลาม จึงเน้นในเรื่องการปฏิบัติตน ตามข้อบัญญัติของ
องค์อัลลอฮฺหรือคัมภีร์อัล - กุรอาน หากผู้ใดละเว้น ก็จะถือเป็นบาป หรือพ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม
          ดร.อารง สุทธาศาสน์ กล่าวถึงศาสนาอิสลามในทัศนะของชาวปัตตานีว่า "ศาสนาอิสลามมีลักษณะแตกต่างจากศาสนาอื่นอยู่หลายประการ ประการที่สำคัญคือเป็นศาสนาที่มีบท
กำหนดความเชื่อ และการปฏิบัติทุกแง่มุม มีคำสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ จริยศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ฯ มีคำสอนทั้งในระดับนโยบายทั่วๆ ไป และในระดับการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มีคำสอน
เกี่ยวกับโลกหน้าและโลกนี้อย่างสมบูรณ์ สรุปแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีพฤติกรรมใดหรือแนวความคิดใดของมนุษย์ ที่จะพ้นขอบข่ายของศาสนาอิสลาม"
การปกครองส่วนท้องถิ่นและภาวะผู้นำ
     ตำบลกะมิยอ มีองค์การบริหารส่วนตำบล กำนันและใหญ่บ้านรับผิดชอบดูแลและปกครองลูกบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีผู้นำตามตำแหน่ง ดังนี้
นาย สุไรมิง   อิสมาแอ       นายกองค์การบริหารส่วนตำบลกะมิยอ
นาย เจะอามะ ทรงศิริ        ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลกะมิยอ
นาย ดือราแม  ดอแม          ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านท่าราบ
นาย ซุลกีฟลี มะซัน           ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านกะมิยอ
นาย  อามะ ยูโซะ                ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านตาเนาะ
นาย โซะ เจะอาลี                ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านกาแลบือซา
นาย อับรเซาะ เจะและ      ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 บ้านท่าราบ
นาย มูฮัมหมัด ยีดอเลาะ   ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านสะมาโระ
นาย อับดุลรอแม ดาแม      ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านบือแนกูเจ
นาย อันอาซาฮาดัตช์ อีบุ๊   สารวัตรกำนัน
นาย สะตอปา ดาโอะ         แพทย์ประจำตำบล
           นอกจากผู้นำตามตำแหน่งแล้ว ผู้นำที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือคือโต๊ะอิหม่ามซึ่งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลาม เช่น การรวมกลุ่มแบบสหกรณ์ที่นำเงินมาลงทุนในกลุ่ม เปิดเป็นร้านค้า และซื้อของจากร้านค้าของตัวเอง หรือลงทุนเองซื้อของตัวเองนั้นขัดกับหลักศาสนา แต่ถ้ามีหลายๆ คนมาลงทุน และมอบหมายให้คนใดคนหนึ่งรับผิดชอบก็ถือว่าไม่ผิดกับหลักอิสลาม
          โต๊ะครูปอเนาะ เป็นผู้นำทางความคิดด้านจริยธรรมของชุมชน เป็นผู้สอนให้ชุมชนรู้จักปฏิบัติศาสนกิจ และใช้ชีวิตตามแบบอย่างอิสลามได้อย่างถูกต้องผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านกะมิยอ เป็นอีกท่านหนึ่ง
อันเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในการจัดกิจกรรมของชุมชน เมื่อมีการประชุมครั้งสำคัญที่มีคนจำนวนมาก ก็จะมาใช้สถานที่ของโรงเรียนซึ่งเป็นศูนย์กลางของตำบลกะมิยอ

ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนและกลุ่มชุมชน
          ตำบลกะมิยอเป็นชุมชนที่ผู้คนยังมีความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กัน บ้านไหนมีงานก็เกณฑ์คนไปช่วยเหลือกัน และด้วยความเป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การจับมือทักทาย การกล่าว สลามทุกครั้งเมื่อพบเจอ กลายเป็นสิ่งดีงามที่เสริมสร้างความกลมเกลียว
ให้เกิดขึ้นในชุมชน
          การรวมกลุ่มของชุมชนตำบลกะมิยอมีสองลักษณะ คือกลุ่มที่ทางราชการสนับสนุน เช่น กลุ่มยุวเกษตร กลุ่มแม่บ้านปักจักร กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ และกลุ่มที่เกิดจากความต้องการของชุมชน คือกลุ่มผู้ผลิตกะปิเยาะและ
เครื่องแต่งกายมุสลิมจังหวัดปัตตานี ซึ่งต่างมีการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน กรณีที่เห็นได้ชัดคือ การระดมทุน
ของผู้ผลิตกะปิเยาะและเครื่องแต่งกายมุสลิมจังหวัดปัตตานี ได้มีเงินจากกองทุนหมู่บ้านมาร่วมลงทุนด้วย เป็นต้น

ระเบียบ ข้อปฏิบัติ กฎเกณฑ์ของชุมชน
          กฎเกณฑ์ของชุมชนจะสอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลามมีการมาร่วมกันประกอบศาสนกิจที่มัสยิด
ทุกวันศุกร์ ร่วมรับฟังหลักการศาสนาอิสลามที่โต๊ะอิหม่ามให้ความรู้ ทำให้การอยู่ร่วมกันในชุมชนมีความสามัคคี
และเข้าใจกัน มีหลักการทางศาสนาอิสลามเป็นกฎเกณฑ์ของชุมชนอย่างสอดรับและประสานกันอย่างลงตัว

ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการ และระบบกรรมสิทธิ์
พื้นดิน
ลักษณะของพื้นดินและความเปลี่ยนแปลง
    สมัยก่อน ตำบลกะมิยอมีลำคลองออกสู่อ่าวปัตตานี เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญในการติดต่อค้าขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ปัจจุบัน คลองต่างๆ ก็เริ่มเล็กลง บทบาทของลำคลองจึงเปลี่ยนเป็นสายน้ำเล็กๆ สำหรับประโยชน์ในเรื่องการเกษตร แผ่นดินที่เพิ่มมากขึ้นจากการตื้นเขินของลำคลอง กลายเป็นพื้นที่ในการเพาะปลูก เป็นที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะในหมู่ที่ 2 หมู่ที่ 7 หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 6 มีเพียงหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 4 เท่านั้นที่มีสภาพเป็นดินเค็ม ส่วนหมู่ที่ 5 มีปัญหาเรื่องดินเปรี้ยว

การใช้ประโยชน์และความเหมาะสม
     ที่ดินในตำบลกะมิยอมีการจัดสรรเป็นแปลงเกษตร โดยมีการทำนาในทุกหมู่บ้าน ทำสวนผลไม้ เช่นเงาะ ทุเรียน สวนมะพร้าวในหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 7 นอกจากนี้ยังมีการปลูกถั่วเขียว ปลูกผัก และมีตาลโตนดขึ้นแซมอยู่ทั่วไป มีสวนยางพาราบ้างประปราย


ภาพ พื้นที่เพาะปลูกถั่วเขียวแซมด้วยต้นตาลโตนดและมะพร้าว

               ความเสื่อมโทรม สาเหตุ และผลกระทบ
          ที่ดินที่เกิดความเสื่อมโทรมอยู่ที่หมู่ 4 เนื่องจากเป็นดินเค็มที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติส่วนหนึ่ง และเกิดจากการขุดหน้าดินไปขาย ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้

การถือครองที่ดิน กรรมสิทธิ์
          ที่ดินทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวบ้าน โดยได้ รับเป็นมรดกตกทอดกันมา

พื้นน้ำ
         “ตำบลกะมิยอมีการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคจากบ่อน้ำซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปทั้งตำบลแต่ระบบประปา
ได้เข้ามาแทนที่มากขึ้น ทำให้ความสำคัญของบ่อน้ำลดลงและถูกทิ้งร้าง ส่วนการใช้น้ำเพื่อการเกษตรจะใช้น้ำจากคลอง สายน้ำเล็กๆ และบ่อน้ำที่องค์การบริหารส่วนตำบลกะมิยอมาขุดให้ เพื่อใช้ในการเกษตรของหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 5


ภาพ ประปาหมู่บ้าน






                                                  ภาพ บ่อน้ำที่กระจายตัวทั่วไปในตำบลกะมิยอ



 สภาพทางเศรษฐกิจ
การประกอบอาชีพ
ภาคการเกษตร
          ชีวิตของคนตำบลกะมิยอยังชีพด้วยการเพาะปลูกมายาวนาน มีทั้งนาข้าว แปลงปลูกผัก หลังจากหน้านาก็ปลูกถั่วเขียว เข้าช่วงฝนปลูกมันเทศ ต้มกินตอนทำนาทำให้ร่างกายอบอุ่น พอหมดช่วงดำนาก็ปลูกแตงโมไว้กินตอนเกี่ยวข้าวเพื่อคลายความร้อน มีตาลโตนดและมะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ ยังคงมีวิถีการผลิตน้ำตาลแว่นจากตาลโตนดและน้ำตาลทรายแดงแบบดั้งเดิม มีการเลี้ยงวัว เลี้ยงแพะบ้างเล็กน้อย




ภาพ ตาลโตนด พืชเศรษฐกิจของตำบลกะมิยอ







ภาพ การแปรรูปตาลโตนดเป็นน้ำตาลแว่นด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม


 ภาพ สวนมะพร้าวที่แทรกอยู่รอบๆ บ้านเรือนในชุมชน
    
นอกภาคการเกษตร (การผลิต แปรรูป)
          การผลิตกะปิเยาะ เป็นอาชีพสำคัญที่ตำบลกะมิยอยึดเป็นอาชีพเสริม บางครอบครัวก็ยึดเป็นอาชีพหลักมายาวนานร่วม 50 ปีมาแล้ว เฉพาะปี 2546 มีมูลค่าการส่งออกนับสิบล้านบาท


ภาพ กะปิเยาะ สินค้าวัฒนธรรมที่ขายไปทั่วโลก

การตลาดการค้า และการขนส่ง
     ตำบลกะมิยอมีร้านค้าขายของชำเพียงไม่กี่แห่ง เนื่องจากอยู่ใกล้กับตัวจังหวัดปัตตานี สามารถเดินทางไป
ซื้อของใช้ได้ง่าย และมีร้านจำหน่ายวัสดุในการผลิตกะปิเยาะที่หมู่ 2 บ้านกะมิยอ เพื่อจำหน่ายวัสดุราคาถูกกับสมาชิกที่ถือหุ้นของกลุ่ม และตอนปลายปี จะมีเงินปันผลให้ตามจำนวนหุ้นของสมาชิกแต่ละคน

การใช้แรงงาน
     ทั้งอาชีพภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร เป็นแรงงานที่อยู่ในชุมชนทั้งสิ้น ไม่มีการนำแรงงาน
จากต่างพื้นที่เข้ามา ส่วนการผลิตกะปิเยาะ น้ำตาลแว่น จะเป็นแรงงานที่ทำกันเองในครัวเรือน

               การสนับสนุนขององค์กรภายนอก
ที่ผ่านมา มีหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนหลักๆ คือ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปัตตานี สนับสนุนการตั้งกลุ่มยุวะเกษตร สนับสนุนปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช เช่น กะหล่ำดอก แตงโม ถั่วเขียวในบางฤดูกาล สำนักงาน พัฒนาชุมชนจังหวัดปัตตานี สนับสนุนให้กะปิเยาะ เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ระดับ ห้าดาวของจังหวัด สหกรณ์อิสลามปัตตานี สนับสนุนด้านบริการรับเงินฝากให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม

\
ภาพ ศาลายุวะเกษตร ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ตำบลกะมิยอ จังหวัดปัตตานี

สภาพปัญหาของชุมชน สังคม
 ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
- ผู้ผลิตกะปิเยาะ ไม่สามารถกำหนดราคากะปิเยาะได้เอง เนื่องจากการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง
- ไม่มีร้านค้าสหกรณ์ภายในหมู่บ้าน

ปัญหาทางด้านสังคมและวัฒนธรรม  
- ราษฎรนิยมเรียนศาสนามากกว่าการเรียนสายสามัญ ทำให้พูดภาษาไทยได้ไม่คล่อง และไม่นิยมใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน
- ราษฎรไม่นิยมคุมกำเนิด และมีความเชื่อที่ไม่เอื้อต่อการวางแผนคุมกำเนิด ทำให้มีลูกมาก
- ราษฎรบางคนมีฐานะยากจน ขาดความรู้ความเข้าใจในด้านอาหารและโภชนาการ ทำให้เด็กขาดสารอาหาร

ปัญหาทางด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
- คลองในหมู่บ้านตื้นเขิน ไม่ระบายลงสู่ทะเล ทำให้นำเค็มไหลย้อนขึ้นมา
- ขาดที่ทิ้งขยะสาธารณะ ทำให้มีการทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง

ปัญหาอื่นๆ
- ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ การคมนาคมไม่สะดวก
- ขาดคูน้ำ ระบายน้ำไม่เพียงพอ
- น้ำประปาในหมู่บ้านไม่เพียงพอ
- ขาดไฟฟ้าและแสงสว่างในถนน
- ไม่มีที่ดับเพลิงประจำหมู่บ้าน
- โทรศัพท์สาธารณะมีไม่เพียงพอ


 สรุปการสัมภาษณ์ตำบลกะมิยอ
  
              ในอดีตใน 21 ปีก่อน ตำบลกะมิยอไม่มีผู้ใหญ่บ้าน และหลังจากนั้นก็มีผู้ใหญ่บ้าน ในช่วงปีนั้น มี ผู้ใหญ่บ้านที่ชื่อ โกมะ  ยาลอ ปี 2535 เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นเวลา 4 สมัย 20 ปี  โดยมีพื้นที่อาณาเขต ตั้งแต่ สะดาวา จนถึง คลองมานิง
                ในอดีตประกอบอาชีพ ทำนา พื้นที่ ม.6 ทั้งหมด 600 ไร่ มีบ่อโบราณ 2 บ่อ
                  1.บ่อน้ำเค็ม เป็นบ่อที่สามารถทำเป็นยา  อายุประมาณ  200 ปี
                  2.บ่อน้ำจืด  หรือ บ่อไผ่  เป็นบ่อที่หวาน  จะขนส่งน้ำเพื่อไปขายในเมือง  โดยการส่งทางเกวียน  ปัจจุบันกำลังจะทำเป็นสถานที่โบราณเพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาชม
     
           ประวัติกะปิเยาะ
                  ในอดีตมีคนทำกะปิเยาะ  3 คน  1. หะยีแอ  2.หะยีแม  3.ซูเฮ็ง  เย็บกะปิเยาะกับพวกทำส่งไปเมกะ
-          ประวัติคนทำกะปิเยาะประมาณ 40 ปี โดยในช่วงนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้ และจะทำการเย็บกับมือ เลยจะมีการ
เคลื้อนย้ายตลอดเวลา
-          ประมาณ 10 ปี ที่มีกางส่งออกไปยังเมกกะ
-          โดยในเวลาต่อมา มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือ เครื่องจักรเย็บจากคอมพิวเตอร์ คนที่ใช้เป็นคนแรก คือ การิม เป็นผู้บุกเบิก
-          ปัจจุบันนี้มีประมาณ 100 กว่าเครื่อง
-          เครื่องจักรเย็บคอมพิวเตอร์ มีเครื่องที่มาจาก ประเทศญี่ปุ่น  คือ ยาริงซิงเกอร์  เป็นผู้สร้างเครื่องจักรเย็บคอมพิวเตอร์
-          กะปิเยาะเป็นอาชีพหลักของคนในตำลบกะมิยอ และจะมีอาชีพเป็นเกษตรกร ยางพาราอยู่ที่ ม.6 และ ม.7  และจะมีอาชีพของการทำน้ำตาลแว่น
-          การขนส่ง และการส่งออกของการทำอาชีพในตำบลกะมิยอ จะมีทั้งคนมารับเองและคนไปรับเอง และจะส่งออกทางด่านนอก ทางสะเดา
-          ถ้าจะส่งออกทางต่างประเทศก็จะสส่งออกทางเครื่องบิน
-          ในตำบลกะมิยอจะมีการประชุมประจำเดือนที่อำเภอ  หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็จะกระจายข่าวไปยังคนในหมู่บ้าน
-          จะมีการทำกิจกรรมรวมกัน  เช่น  งานเมาลิด  อาซูรอ
-          เศรษฐกิจดั้งเดิมในตำบลกะมิยอ คือ  ทำนา  เลี้ยงวัว  น้ำตาลตะโนดหรือน้ำตาลแว่น และเอาน้ำตาลละโนดมาแปรรูปเป็นน้ำตาลทราย
-          ในตำบลกะมิยอจะมีการตั้งกลุ่มเยาวชนก่อตั้ง  พอมีโรคระบาดก็เลยหยุดการตั้งกลุ่มเยาวชน

ปัจจัยการผลิต
  ในขณะนั้น ที่ดินมีน้อย  ส่วนมากจะเป็นที่ของเขาและนำมายืมทำการเพาะปลูก  โดยไม่มีการเช่า และใน
ที่ดินดังกล่าว จะมีการปลูกแตงกวา  มันเทศ  จะใช้ระบบน้ำหยด  และการทำการเพราะปลูกนั้น จะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่คนในตำบล  และจะได้วันละ 3000 บาท ต่อ 3 ไร่  การเพาะปลูกจะใช้ทั้งความรู้และภูมิปัญญารวมทั้งใช้เทคโนโลยีมาใช้  ผลผลิตจะมีการจ้างคนมาเก็บเกี่ยวผลผลิต  เพื่อให้คนในหมู่บ้าน  ที่ไม่มีงานทำได้มีเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว  แตงกวาจะมีอายุถึง 2 เดือน  จะขายกิโลกรัมละ  12  บาท   ที่ดิน  จะเป็นที่ดินที่ว่างที่เจ้าไม่ได้อยู่ในพื้นที่  น้ำ  จะเป็นน้ำคลอง  และจะมีการเก็บเกี่ยวในช่วงบ่าย
     
           ปัจจัยการลงทุน
                  จะมีการยืมคนข้างบ้าน
  
            ปัจจัยของแรงงาน
                  จะจ้างเด็กวัยรุ่นที่ว่างงาน

               โลจิสติกส์
                  จะมีการขนส่งในเมือง  และพื้นที่ใกล้เคียง  จะมีพ่อค้าคนกลางมารับสินค้าและขายต่อ
  
              เศรษฐกิจภาคเกษตร
                  คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำการเกษตร  และจะมีการเย็บกะปิเยาะ  การเป็นอยู่จะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่
  
              อุตสาหกรรม
                  จะเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือน  การผลิตกะปิเยาะ จะได้วันละ 500 ใบ ในการเย็บกะปิเยาะ  เทคโนโลยีที่เขานำมาใช้จะเป็นการค้นหาในอินเตอร์เน็ต  หาข้อมูลด้วยตนเอง  ชลประทาน ใช้งบประมาน  15 ล้าน

              สรุป
                  การทำกะปิเยาะ  จะเป็นการทำตามออเดอร์ แต่บางที่ก็ทำตามคนสั่งเท่านั้น  จะไม่ทำให้เหลือนอกเหนือจากนั้น  และบางที่ก็ทำตามคนสั่งด้วย และทำให้มี  เผื่อที่คนที่ยังไม่ทันได้สั่งจะได้ซื้อ  รายได้ของการทำกะปิเยาะ  ครึ่งแสนต่อเดือน  หรือน้อยกว่านั้น  ตามฤดูกาล  ประชากรส่วนใหญ่ในตำบลกะมิยา จะมีอาชีพการทำ กะปิเยาะ เป็นส่วนใหญ่ ประชากรในตำบลจะมีทั้งหมด 4550 คน  800 ครัวเรือน  2 หมู่  30กว่าคน มีการทำกะปิเยาะ  และคนในหมู่บ้าน จะมีการติดหนี้แบบ ยืมและออม  จะไม่มีการกู้เงินทางธนาคาร  เพราะในหมู่บ้าน คนส่วนใหญ่จะมีการนับถือศาสนาอิสลาม ระบบกู้ยืมธนาคาร จึงบาป เลยไม่มีการกู้ยืมในธนาคาร และคนในหมู่บ้าน จะมีการช่วยเหลือซึ้งกันและกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
               


  ภาคผนวก





ภาพ การไปสัมภาษณ์ นาย บือราเฮง ยีดอเลาะ.อดีตผู้ใหญ่บ้าน เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ บ้านบือแนกูเจ และ กะมิยอ



 ภาพ สัมภาษณ์ นาย หมะ เจะมะ (อดีต นายก อบต.) เกี่ยวกับ เศรษฐกิจในชุมชนและการประกอบอาชีพ


ลงพื้นที่ สำรวจอาชีพของชุมชน
การเกษตร จะเป็นการเพาะปลูกแตงกวาและพืชผักอื่นๆ









การทำกะปิเยาะ ถือเป็นรายได้หลักของคนกะมิยอ
ภาพขั้นตอนการทำกะปิเยาะตั้งแต่แรกจนเสร็จสมบูรณ์ ไปเรียนรู้การทำกะปิเยาะ 3 โรงงาน


ภาพตัดผ้าเป็นชิ้น
  

















ขอบคุณค่ะ








                                                                                                               




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น